เมนูนำทาง
มาร์ธา เบียทริซ พอตเตอร์ เวบบ์ ประวัติเบียทริซ เวบบ์เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2401 ตรงกับในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria, พ.ศ. 2380 - พ.ศ. 2444) ที่เมืองกลอสเตอร์ในมณฑลกลอสเตอร์เชอร์ (Gloucestershire) บิดาของเธอคือริชาร์ด พอตเตอร์ (Richard Potter) เป็นบุคคลที่มีฐานะดีและคุณปู่ของเธอก็เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของอังกฤษด้วย ในวัยเยาว์เบียทริซ เวบบ์ได้รับการศึกษาไม่มากนัก แต่ทว่าเธอก็เป็นเด็กที่ฉลาดสนใจการอ่านหนังสือปรัชญา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ใน พ.ศ. 2426 เบียทริซ เวบบ์ได้เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมองค์กรการกุศล (Charity Organization Society : COS) ซึ่งเป็นองค์กรที่พยายามให้ความช่วยเหลือคนยากจน แต่เธอเห็นว่าการทำงานในองค์กรการกุศลไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาความยากจน เบียทริซ เวบบ์มองเห็นว่าสาเหตุปัญหาของความยากจน คือ ปัญหามาตรฐานการศึกษาต่ำ ปัญหาการไม่มีที่อยู่ และปัญหาสาธารณสุข
ด้านชีวิตครอบครัว เบียทริซ เวบบ์เคยพลาดหวังเรื่องความรักกับโจเซฟ เชมเบอร์เลน (Joseph Chamberlain) ซึ่งเป็นนักการเมือง ต่อมาเธอได้รู้จักกับซิดนีย์ เวบบ์ (Sidney Webb, พ.ศ. 2402 - พ.ศ. 2490) ซึ่งเป็นนักปฏิรูปสังคม นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ทั้งยังเป็นสมาชิกของสมาคมเฟเบียน และได้สมรสกันใน พ.ศ. 2435 ทั้งคู่เป็นบุคคลที่มีบทบาทเคียงข้างกันมาอย่างตลอด จนเบียทริซ เวบบ์ได้รับการกล่าวถึงไว้ว่าเปรียบเสมือนกับ “ลมหายใจของสามีเธอ” บทบาทสำคัญของซิดนีย์และเบียทริซ เวบบ์คือการวางแนวนโยบายสังคมนิยมระยะยาวให้อังกฤษ และผลักดันการก่อตั้ง London School of Economics (LSE) ใน พ.ศ. 2438
ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 อังกฤษมีความเคลื่อนไหวภายในประเทศเป็นอย่างมากทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ประเด็นศึกษาประการหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักวิชาการในปัจจุบัน คือ สภาพสังคมของอังกฤษโดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ของชนชั้นกรรมาชีพหรือชนชั้นแรงงาน และความเคลื่อนไหวของกลุ่มปัญญาชนเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชนชั้นดังกล่าวให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้น ความเคลื่อนไหวของกลุ่มปัญญาชนที่สมควรกล่าวถึงคือการก่อตั้งสมาคมเฟเบียนใน พ.ศ. 2427[1] ซึ่งเบียทริซ เวบบ์ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมเฟเบียนเหมือนกับซิดนีย์ เวบบ์สามีของเธอด้วย สมาคมนี้มีบทบาทและเป้าหมายคือ
"เสนอแนวทางปฏิรูปประเทศเพื่อช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและเสรีนิยม ... ยึดหลักการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (gradualism) โดยอาศัยกลไกของระบบรัฐสภา และเสนอแนวทางแก้ไขผ่านองค์กรหรือพรรคการเมืองที่มีบทบาทอยู่แล้ว ... เป็นแนวคิดสังคมนิยมที่โดดเด่นที่สุดของอังกฤษในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20" [2]
แนวความคิดของสมาคมเฟเบียนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิรูปสังคมอังกฤษในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผลงานสำคัญของสมาคมคือ Fabian Essays ได้รับการตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2432 ซึ่งเป็นการรวบรวมคำบรรยายของสมาชิกของสมาคม โดยมีจอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) เป็นบรรณาธิการ นักเขียนสำคัญคนอื่น เช่น เอช. จี. เวลส์ (H. G. Wells) ซิดนีย์และเบียทริซ เวบบ์ เป็นต้น สมาชิกของสมาคมยังมีบทบาทในการผลักดันการก่อตั้งพรรคแรงงาน (Labour Party) [3] จนสำเร็จใน พ.ศ. 2449 และยังคงเป็นพรรคการเมืองที่มีบทบาทในอังกฤษมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ใน พ.ศ. 2441 ซิดนีย์และเบียทริซ เวบบ์เดินทางไปยังอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์เพื่อศึกษาเรื่ององค์กรปกครองระดับท้องถิ่น เป็นผลให้ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ขององค์กรปกครองระดับท้องถิ่นของอังกฤษ ซิดนีย์และเบียทริซ เวบบ์ยังได้เข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาคนยากจนที่ดำเนินการโดยรัฐบาลด้วย รัฐบาลได้จัดตั้ง Royal Commission ใน พ.ศ. 2448 เพื่อติดตามการทำงานให้ความช่วยเหลือคนยากจน ซิดนีย์และเบียทริซ เวบบ์ได้รับแต่งตั้งให้เข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการดังกล่าว อย่างไรก็ตามทั้งคู่มีความเห็นขัดแย้งกับคณะกรรมาธิการคนอื่นๆ เป็นเหตุให้ทั้งคู่ออกตีพิมพ์ Minority Report นับเป็น “การปลุกให้สาธารณชนเห็นความสำคัญของหลักการประกันสังคม”[4] นอกจากนี้แล้วเบียทริซ เวบบ์ยังได้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมาธิการเกี่ยวกับกฎหมายคนยากจน (Poor Law Commission) ในช่วง พ.ศ. 2449 - 2452 ด้วย
สองสามีภรรยาตระกูลเวบบ์ได้ร่วมกันก่อตั้งและตีพิมพ์วารสาร New Statesman ซึ่งเป็นวารสารที่เผยแพร่แนวคิดในการปฏิรูปของนักสังคมนิยมคนสำคัญ บทบาทความสำคัญของสามีภรรยาตระกูลเวบบ์คงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ที่สำคัญประการหนึ่งนั้นเห็นได้จากการที่บ้านของทั้งคู่ในกรุงลอนดอนได้กลายเป็น “สถานที่ชุมนุมของบรรดานักสังคมนิยม” (Socialist Salon)[5] มาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เบียทริซ เวบบ์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการของรัฐบาลหลายคณะ กระทั่งใน พ.ศ. 2467 ซิดนีย์ เวบบ์ซึ่งเป็นผู้แทนของพรรคแรงงานได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสามัญ (House of Commons) และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการการค้า (President of the Board of Trade) และใน พ.ศ. 2472 ซิดนีย์ เวบบ์ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นบารอนพาสฟิลด์ (Baron Passfield) จากพระเจ้าจอร์จที่ 5แต่เบียทริซ เวบบ์ผู้เป็นภรรยาปฏิเสธที่จะใช้บรรดาศักดิ์เลดีพาสฟิลด์ (Lady Passfield) ตามสามีของเธอ
การเดินทางอีกครั้งของเบียทริซ เวบบ์ใน พ.ศ. 2475 เบียทริซ เวบบ์พร้อมกับสามีเดินทางไปยังสหภาพโซเวียต (Soviet Union) ครั้งนี้เธอได้เห็นถึงข้อจำกัดในเสรีภาพทางการเมืองของโซเวียตซึ่งเธอรู้สึกไม่ยินดีนัก แต่เบียทริซ เวบบ์ก็รู้สึกชมชอบกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วทางด้านสาธารณสุขและการศึกษาของโซเวียตซึ่งจะนำไปสู่ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคของสตรี”[6] และเธอก็ได้เขียนผลงานเกี่ยวกับโซเวียตไว้ใน ค.ศ. 1935 เบียทริซ เวบบ์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1943 ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าจอร์จที่ 6 (George VI, ค.ศ. 1936-1952)[7] ที่เมืองลิปฮุค (Liphook) มณฑลแฮมป์เชียร์ (Hampshire)
เมนูนำทาง
มาร์ธา เบียทริซ พอตเตอร์ เวบบ์ ประวัติใกล้เคียง
มาร์ธาแห่งเดนมาร์ก มาร์ธา เชส มาร์ธา ฮันต์ มาร์ธา ฝ่าโหดหนีอำมหิต มาร์ธา วอชิงตัน มาร์ธา สจ๊วต มาร์ธา เบียทริซ พอตเตอร์ เวบบ์ มาร์ธาแอนด์เดอะแวนเดลลาส มาร์ธา เจฟเฟอร์สัน แรนโดล์ฟ มาร์ธาและแมรี แม็กดาเลน (การาวัจโจ)แหล่งที่มา
WikiPedia: มาร์ธา เบียทริซ พอตเตอร์ เวบบ์